ศัลยกรรมคาง เป็นวิธีแก้ไขรูปหน้าที่ได้ได้สัดส่วนให้มีความสวยงาม ทำให้ใบหน้าดูเรียวยาวและได้รูปมากขึ้น การเสริมคาง ราคา 5000 เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางเหลี่ยม คางบุ๋ม หรือคางเบี้ยว การเสริมคางในยุคปัจจุบันนี้ไม่ต้องดมยาสลบ แต่ก่อนที่จะเข้ารับบริการท่านควรจะต้องหาข้อมูลและรายละเอียดของการทำศัลยกรรมคางให้ดีก่อน เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการที่จะเข้ารับบริการ
การเสริมคางจะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ
- วิธีฉีดไขมัน หรือ ใช้สารฟิลเลอร์ เข้าที่คาง วิธีนี้จะไม่ถาวร เนื่องจาก ไขมันและสารฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายไปเองภายใน 3 – 5 ปี
- วิธีเสริมคางด้วยซิลิโคน จะเป็นการผ่าตัดเล็กและใช้ซิลิโคนที่เป็นชนิดที่ใช้ในการเสริมจมูกมาเหลาปรับทรงตามความเหมาะสม จากนั้นนำมาใส่บริเวณคาง ซึ่งการเสริมคางวิธีนี้ยังแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
- การเสริมคางจากด้านในช่องปาก วิธีนี้ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเปิดแผลด้านในช่องปากตรงบริเวณเหงือกด้านในกับริมฝีปากล่าง ให้มีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร (หรือแล้วแต่ขนาดซิลิโคน) จากนั้นศัลยแพทย์จะผ่าแยกเยื่อหุ้มบริเวณขอบล่างของคางออก แล้วจึงวางแท่งซิลิโคนเข้าไปให้พอดีกับตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้นก็เย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย
- การเสริมคางจากด้านนอกช่องปาก เป็นการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณใต้คาง ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร โดยแพทย์สามารถปรับรูปคางได้หลายองศา และสามารถวางตำแหน่งซิลิโคนได้แม่นยำ ชัดเจน รวมถึงยังสามารถตกแต่งผิวหนังส่วนเกินใต้คางได้ ลดโอกาสในการบิดเบี้ยวเอียงได้ดีขึ้น
การเสริมคาง เหมาะสำหรับคนที่มีใบหน้ากลม หรือมีสัดส่วนของใบหน้าไม่ได้สัดส่วน ซึ่งการเสริมคางจะช่วยทำให้ใบหน้าแลดูมีมิติมากขึ้น และการเสริมคางยังเหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้มีความเรียวเป็นใบหน้ารูปไข่หรือ v shape ซึ่งเป็นรูปหน้าที่สาว ๆ ต้องการมากที่สุด
แนะนำบทความยอดนิยม Miradry จากเว็บไซต์ Rattinan.com
การเสริมคางด้วยซิลิโคนมี 3 แบบ ดังนี้
- เสริมซิลิโคนออกมาด้านหน้าวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่คางหลบ คือเวลามองด้านข้างคางจะหลบไปด้านหลัง ก็จะเสริมออกมาด้านหน้า
- เสริมซิลิโคนลงข้างล่างวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีคางสั้น ซึ่งการวัดต้องได้สัดส่วนจากหน้าผาก-จมูก-คาง ทั้ง 3 ส่วนนี้ต้องได้สัดส่วนเท่ากัน
- เสริมซิลิโคนออกมาตรงกลางระหว่างบนและล่างวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่คางสั้น และหลบ วิธีนี้ต้องเสริมออกมาตรงกลาง สำหรับคนที่เป็นเยอะๆ อาจจะต้องตัดกระดูก เลื่อนกระดูกกราม และการเลื่อนกระดูกต้องทำร่วมกับการจัดฟันด้วย
บทความแนะนำ ฉีดไขมันที่หน้าราคา จากเว็บไซต์ Rattinan.com
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
- ผู้เข้ารับบริการเสริมคางจะต้องแจ้งประวัติการแพ้ยา หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลและแจ้งแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดด้วย
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัดท่านควรแปรงฟันให้สะอาด ท่านไม่ต้องงดอาหาร สามารถรับประทานอาหารตามปกติ
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัด 2 สัปดาห์ ท่านจะต้องงดยาแอสไพริน, ไอบิวโพรเฟน และวิตามินอี
- หลังทำการผ่าตัด 1 สัปดาห์ ท่านจะต้องงดสูบบุหรี่
การผ่าตัดเสริมคาง
การผ่าตัดเสริมคาง แพทย์จะใช้วิธีการฉีดยาชาเฉพาะที่ เสริมด้วยแท่งซิลิโคน แผลผ่าตัดจะอยู่ด้านในปากบริเวณระหว่างซอกของริมฝีปากล่างด้านในกับเหงือก มองไม่เห็นแผลจากภายนอก เย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย ไม่ต้องตัดไหม
หลังเสริมคางมีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร
- งดทานอาหารรสจัด อาหารร้อน ของหมักดอง และอาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยว รวมถึงงดของสุกๆ ดิบๆ เพราะอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนได้
- หลังการผ่าตัดในภายในช่วง 2 สัปดาห์แรก ควรงดกิจกรรมที่ทำให้บาดแผลกระทบกระเทือน เช่น การวิ่ง กระโดด และห้ามเท้าคางเด็ดขาด
- หลังผ่าตัดจะมีอาการบวม จึงควรประคบเย็นอย่างน้อย 48 ชั่วโมง โดยอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงประมาณ 2 สัปดาห์
- หมั่นบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด น้ำเกลือ หรือน้ำยาบ้วนปาก ทุก 2-3 ชั่วโมงและทุกครั้งหลังอาหาร เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดในช่องปาก
- ควรรับประทานอาหารที่เคี้ยวง่าย เช่น อาหารอ่อนหรืออาหารเหลว และหลีกเลี่ยงการขยับปากในช่วงแรก
- ช่วงแรก ๆ ให้นอนหงาย และหนุนหมอนสูงๆ เพื่อลดอาการบวม และอาการเลือดคั่ง
- เพื่อลดการขยับคางเวลาดื่มน้ำควรใช้หลอดดูด และควรดื่มน้ำมาก ๆ
- เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้ามาก จะทำให้หน้าบวมได้ ดังนั้นจึงควรงดการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง พร้อมดูแลแผลอย่างเคร่งครัด
- ไม่ควรยิ้มหรือหัวเราะมากจนเกินไป เนื่องจากจะเป็นการกระทบกระเทือนบริเวณคาง
- ระมัดระวังไม่ให้เกิดแรงกระแทกมากระทบซิลิโคนมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ซิลิโคนที่ยังเกาะติดแน่นกับขอบกระดูกไม่ดีพอขยับเขยื้อนได้
- หากมีอาการผิดปกติจากการศัลยกรรม หรือสงสัยว่าตัวเองมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
บทสรุป
เสริมคาง ราคา 5000 ปัจจุบันนี้คลินิกเสริมความงามเกิดขึ้นมากมาย จึงมีการจัดโปรโมชั่นเพื่อเป็นการดึงลูกค้าเข้าสู่คลินิกของตน ซึ่งก่อนที่จะเข้ารับบริการท่านจะต้องทำการศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงในการที่จะเกิดอันตราย และท่านควรศึกษาถึงสถานพยาบาลว่ามีความสะอาดได้มาตรฐานหรือไม่ หรือแพทย์ที่จะให้บริการมีความเชี่ยวชาญเพียงใด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
