ตัดไขมันกระพุ้งแก้มแก้มห้อย ให้หน้ากลับมาสวย เต่งตึงย้อนวัย

สาว ๆ คนไหนหากมีใครเข้ามาทักว่าหน้าบานคงรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันนี้สาว ๆ นิยมให้ใบหน้าตัวเองดูเรียวสวย จึงเกิดการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มแก้มห้อยเกิดขึ้น และกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นวิธีการนำไขมันบริเวณกระพุ้งแก้มออก เพื่อปรับรูปหน้า ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลงอย่างได้ผล

แต่สำหรับเรื่องนี้ในบางคนอาจจะเป็นเรื่องใหม่ หากคิดจะทำก็ไม่แน่ใจกลัวอันตราย วันนี้เราจึงมีเนื้อหาสาระดี ๆ ในเรื่องของการผ่าตัดลดไขมันกระพุ้งแก้ม มาฝากค่ะ

ผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ลดปัญหาแก้มห้อย

การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ก็เพื่อที่จะช่วยปรับรูปหน้าของผู้ที่มีปัญหาใบหน้าใหญ่ รูปหน้าดูกลม เนื่องจากการสะสมของไขมันส่วนเกินเช่นบริเวณแก้ม และคาง สาเหตุเพราะการรับประทานอาหารที่เกินพอดี ให้ดูเล็กลง และมีรูปหน้าที่เป็น v shape

ซึ่งการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มนั้น จะเป็นการนำไขมันส่วนเกินบริเวณกระพุ้งแก้มออก เป็นการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลงอย่างถาวร นอกจากจะทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลงได้รูปมากขึ้นแล้วนั้น ยังช่วยทำให้ใบหน้าที่มีปัญหาหย่อนคล้อยจากไขมันกระพุ้งแก้มห้อยลงด้านล่าง ก็จะทำให้ใบหน้าตึงกระชับมากขึ้นไปในตัวด้วย

การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ใบหน้ามีไขมันส่วนเกินสะสม
  • ผู้ที่อยากจะมีรูปหน้าที่สวยได้รูปเรียวเล็กเป็นทรง V shape
  • ผู้ที่มีใบหน้ากลม บาน ใหญ่ จนทำให้สูญเสียความมั่นใจ
  • ผู้ที่อยากดูดีในสายตาคนอื่น

การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่เป็นโรคลมชัก
  • ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคเลือด ความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร

ตัดไขมันกระพุ้งแก้มแก้มห้อย รักษายังไง

เตรียมตัวก่อนผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

เพื่อให้การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มได้ผลดี ผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมตัว ดังนี้

  • แจ้งประวัติการฉีด เสริม และตกแต่งใบหน้าทุกประเภทอย่างละเอียด
  • แจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และยาที่ใช้เป็นประจำ
  • ก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ท่านต้อง งดวิตามิน อาหารเสริม ยาลดน้ำหนัก สมุนไพรทุกชนิด
  • ก่อนการผ่าตัด 1 สัปดาห์ท่านต้อง งดสูบบุหรี่
  • ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ท่านจะต้องงดแอลกอฮอล์
  • ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ท่านต้องงดยากลุ่ม Aspirin หรือ Ibuprofen
  • ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ท่านต้องงดวิตามิน อาหารเสริม ยาลดน้ำหนัก สมุนไพรทุกชนิด
  • ท่านต้องงดแต่งหน้าก่อนเข้าผ่าตัด
  • ก่อนเข้ารับการผ่าตัดท่านต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดจะทำให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาดีที่สุด เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการผ่าตัดได้เป็นอย่างดี

วิธีการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
  • แพทย์จะให้ท่านบ้วนน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนรับการผ่าตัด
  • แพทย์จะให้ท่านนอนพักในห้องผ่าตัด เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตและชีพจรก่อนรับการผ่าตัด
  • แพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้าง
  • แพทย์จะทำการผ่าตัดนำไขมันบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างออกและเย็บแผลด้วยไหมละลาย โดยใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 40 นาที
  • แพทย์จะให้ท่านนอนพักที่ห้องพักฟื้นและประคบน้ำแข็งบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้าง เพื่อนอนสังเกตอาการประมาณ 30 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ หลังการผ่าตัด

วิธีดูแลตัวเองหลังตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

  • ท่านสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ยกเว้นอาหารที่มีรสจัดเผ็ด อาหารร้อน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด
  • ท่านจะต้องบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากหรือน้ำสะอาดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันเศษอาหารติดที่ไหมเย็บแผล
  • ท่านจะต้องทำการประคบเย็นบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้าง และอมน้ำแข็ง ในช่วง 2 วันแรกหลังการผ่าตัด
  • ท่านจะเริ่มประคบอุ่นบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างได้ในวันที่ 3 หลังการผ่าตัด
  • รับประทานยาที่ได้รับให้ครบตามที่แพทย์สั่ง

เหตุผลที่ผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

  • เป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาแก้มป่องจากพันธุกรรม
  • เป็นการผ่าตัดเล็ก ร่างกายฟื้นตัวเร็ว ไม่มีแผลภายนอก

ความเสี่ยงของการผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

  • ความเสี่ยงในการที่ท่อน้ำลายได้รับการกระทบกระเทือน
  • ความเสี่ยงของการติดเชื้อที่แผลหลังการผ่าตัด
  • ความเสี่ยงในการเลือดออก บวม ช้ำ หลังการผ่าตัด
  • ความเสี่ยงในการที่เส้นประสาทใบหน้าได้รับการกระทบกระเทือนทำให้มุมปากตกได้

ความเสี่ยงนี้จะลดลงเหลือน้อยมาก หากรับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังรับการผ่าตัดเป็นอย่างดี

บทสรุป

ตัดไขมันกระพุ้งแก้มแก้มห้อย เป็นการทำศัลยกรรมเพื่อให้รูปหน้าดูสวยงาม มี V shape ซึ่งก่อนที่จะเข้าใช้บริการท่านควรจะทำการศึกษาหาข้อมูลในการทำให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำ การปฏิบัติตัวก่อนทำ หลังทำ ควรทำอย่างไร และจะต้องศึกษาถึงสถานพยาบาล และแพทย์ผู้ให้การรักษาซึ่งจะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อที่จะลดความเสี่ยงและเพื่อความปลอดภัยของตนเอง